เพชรฆาตหน้าหยก สามารถ พยัคฆ์อรุณ


สามารถ  พยัคฆ์อรุณ

ชื่อ – นามสกุลจริง   : นาย สามารถ ภพธีรธรรม
(เดิมนามสกุล ทิพย์ท่าไม้ แต่เปลียนมาเป็น
ภพธีรธรรม เมื่อ ปี พ.ศ. 2551 หรือ ค.ศ. 2008)
ชื่อในวงการ   : สามารถ พยัคฆ์อรุณ
ชื่อเล่น  : มาด
ฉายา  : พยัคฆ์หน้าหยก (เพราะไม่เคยมีริ้วรอย จากการชกมวยที่ใบหน้าเลย)
เกิดที่  : จ.ฉะเชิงเทรา
วันเกิด   : เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2505 (ค.ศ. 1962)
บิดาชื่อ   : นายสมนึก  ทิพย์ท่าไม้
มารดาชื่อ   : นางเมค ทิพย์ท่าไม้
พี่น้อง  : มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน   เป็นบุตรคนที่ 6


 สามารถ พยัคฆ์อรุณ อดีตแชมป์โลกคนที่ 10 ของไทย อดีตยอดนักมวยไทยชื่อดัง มีชื่อจริงว่าสามารถ ทิพย์ท่าไม้ เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2505 ที่ตำบลคลองเขต (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของตำบลท่าข้าม) อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา สามารถหัดชกมวยครั้งแรกโดยเริ่มจากมวยไทยตั้งแต่อายุ 11 ขวบ โดยใช้ชื่อว่า "สามารถ ลูกคลองเขต"สามารถชกมวยไทยในแถบจังหวัดภาคตะวันออกถึง 100 กว่าครั้ง จึงได้เดินทางมาชกในกรุงเทพ ฯ ในปี พ.ศ. 2522 ที่สนามมวยเวทีลุมพินี โดยอยู่ในการดูแลของโปรโมเตอร์ชื่อดัง ทรงชัย รัตนสุบรรณ
สามารถถือได้ว่าเป็นนักมวยที่มีชั้นเชิงแพรวพราว สายตาดี ชกได้สนุก ชนะใจคนดู และประสบความสำเร็จอย่างมากในการชกมวยไทย โดยได้แชมป์ของสนามมวยเวทีลุมพินีถึง 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่
1.รุ่นพินเวท (105 ปอนด์) ในปี พ.ศ. 2523
2.รุ่นจูเนียร์ฟลายเวท (108 ปอนด์) ในปี พ.ศ. 2523
3. รุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวท (115 ปอนด์) ในปี 2524
4.รุ่นเฟเธอร์เวท (126 ปอนด์) ในปี พ.ศ. 2524
                 
สามารถ พยัคฆ์อรุณ เริ่มหันมาชกมวยสากลอาชีพเนื่องจากไม่มีคู่ต่อสู้ในรูปแบบมวยไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลหลายฝ่าย เช่น ทรงชัย รัตนสุบรรณ ผู้จัดการและโปรโมเตอร์ สหสมภพ ศรีสมวงศ์ และสุชาติ เกิดเมฆ สามารถชกมวยสากลสร้างประสบการณ์อยู่ 11 ครั้ง จึงได้ชิงแชมป์โลกครั้งแรกในรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท (122 ปอนด์) ของสภามวยโลก หรือ WBC กับมักมวยชาวเม็กซิกัน กัวดาลูเป้ พินเธอร์ เมื่อปี 2529 ผลการชก สามารถเอาชนะน็อกแชมป์โลกไปได้ในยกที่ 5 กลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 10 ของไทยไปทันที 

                  
ภายหลังจากได้แชมป์โลกไปแล้ว สามารถชกป้องกันตำแหน่งอีกครั้งคือ การชกป้องกันตำแหน่งกับ ฮวน คิด เมซ่า นักมวยชาวเม็กซิกัน ซึ่งเป็นอดีตแชมป์โลกในรุ่นนี้ ผลปรากฏว่า สามารถก็เอาชนะน็อกไปในยกที่ 12 การชกกับฮวน คิด เมซ่า ได้รับการกล่าวขานถึงเป็นอย่างมาก เพราะสามารถพิงเชือกโยกหลบหมัดของผู้ท้าชิงด้วยสายตาอันว่องไวนับสิบ ๆ หมัด (ประมาณกันว่า 27 หมัด) และชกสวนหมัดตรงเข้าปลายคางไปเพียงหมัดเดียว ก็เอาชนะน็อกผู้ท้าชิงไปได้อย่างน่าประทับใจ              

                        
จากนั้น สามารถเดินทางไปป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 2 เป็นการป้องกันตำแหน่งนอกบ้านถึงประเทศออสเตรเลีย กับนักมวยเจ้าถิ่น เจฟฟ์ เฟเนค (ซึ่งต่อมาเป็นนักมวยชื่อดังระดับโลก เป็นแชมป์โลก 3 รุ่น) การชกในครั้งนี้สามารถประสบกับปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวซึ่งต้องลดเป็นอย่างมาก จึงถูก เฟเนค น็อกในยกที่ 4 อย่างหมดรูป แต่กระนั้นก็ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า สามารถล้มมวยหรือเปล่า เพราะไม่เชื่อว่าฟอร์มการชกก่อนหน้านั้น 2 ครั้ง จะทำให้สามารถแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ซึ่งสามารถได้พิสูจน์ความจริงใจของตนเองด้วยการทำพิธีสาบานที่วัดพระแก้วจนเป็นข่าวครึกโครมในช่วงนั้น

                       
หลังจากเสียแชมป์โลกไปแล้ว สามารถ ยังคงชกมวยต่อ และกลับมาชกมวยไทยอีกครั้ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยการชนะนักมวยชั้นนำในสมัยนั้นหลายรายเช่นพนมทวนเล็ก ห้าพลัง ,สำราญศักดิ์  เมืองสุรินทร์,นำพล หนองกี่พาหุยุทธ,  เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง เป็นต้น จนในปี พ.ศ. 2531 สามารถ พยัคฆ์อรุณ ได้รับรางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยม จากสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬา ก่อนที่เขาจะตัดสินใจแขวนนวม หลังจากที่เเพ้คะแนน วังจั่นน้อย ส.พลังชัย นักชกรุ่นน้องไปอย่างพลิกล็อก เมื่อปี 2532
                      
เนื่องจากสามารถเป็นนักมวยที่หน้าตาดี ทำให้มีบุคคลชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้ในวงการมวยเลยทีเดียว สามารถมีผลงานในวงการบันเทิงครั้งแรกโดยการออกเทปกับบริษัทแกรมมี่ ในชื่อชุด "ร็อกเหน่อ ๆ" มีเพลงดังที่รู้จักกันดีในยุคนั้นคือเพลง "อ่อนซ้อม" โดยเป็นการล้อเลียนการซ้อมมวยของสามารถเอง ซึ่งมักถูกกล่าวว่าเป็นมวยซ้อมน้อย และได้ออกอัลบั้มชุดต่อ ๆ มาอีกหลายชุด ไม่เพียงเท่านั้น สามารถยังได้ถ่ายแบบ แสดงหนัง ละคร หลายต่อหลายเรื่อง สามารถกลายเป็นดาราชื่อดังชั้นแนวหน้าในระยะเวลาไม่นาน และประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงโดยได้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากภาพยนตร์เรื่อง "ขยี้" ร่วมกับลิขิต เอกมงคล ในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจวบจนถึงปัจจุบันนี้ ที่มีนักแสดงนำชายที่ได้รับรางวัลนี้พร้อมกันถึง 2 คน
                                        
สามารถ พยัคฆ์อรุณ คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงนานหลายปี จนหลายคนเชื่อว่า เขาคงเลิกราจากวงการมวยแล้ว แต่ในปี พ.ศ. 2536 สามารถ ก็กลับมาสู่เส้นทางพื้นผ้าใบอีกครั้ง ด้วยมีเป้าตั้งไว้ที่จะกลับมาเป็นแชมป์โลกอีกครั้ง โดยมี ทรงชัย รัตนสุบรรณ เป็นผู้สนับสนุนอีกเช่นเคย สามาถชกอุ่นเครื่องเคาะสนิมอยู่ 5 ครั้ง จึงได้ชิงแชมป์โลกในรุ่นเฟเธอร์เวท WBA กับ อีลอย โรฮาส นักมวยชาวเวเนซูเอล่า ในปี พ.ศ. 2537 ผลการชกคือ สามารถแพ้น็อกไปอย่างสิ้นสภาพในยกที่ 8 ปิดฉากชีวิตในแบบนักมวยทันที
                                       
ในปัจจุบัน สามารถ ยังคงอยู่ในวงการบันเทิง มีผลงานออกมาเป็นระยะ ๆ และในวงการมวยมีค่ายมวยเป็นของตัวเอง และในบางครั้งจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเป็นเทรนเนอร์มวยไทยด้วย

ปัจจุบันสามารถเปิดค่ายมวย "ภพธีรธรรม" อยู่ที่ซอยสายไหม 31 กรุงเทพมหานคร

credit www.onesongchai.com/ประวัติสามารถ-พยัคฆ์อรุณ.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น